เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ม.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระเรามาทำบุญ เวลาทำบุญ เห็นไหม เราทำบุญเพื่อ.. เพราะคนหูตาสว่างถึงจะทำได้ ถ้าคนหูตาไม่สว่าง เรื่องการทำบุญกุศล.. บุญกุศลบอกว่านี่เราต้องหาเงินหาทองแล้วเอาไปทำบุญกุศล

เวลาทาน ศีล ภาวนา การทำบุญที่มีคุณค่าที่สุดคือการนั่งสงบจิตสงบใจของตัวเอง เพราะการภาวนา เห็นไหม กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือลมหายใจเข้าออกนั่นน่ะ สิ่งนั้นนี่ เพราะจะทำบุญมากน้อยขนาดไหนเหมือนเรากั้นเขื่อนไว้ เขื่อนนะ เขื่อนนี่กั้นน้ำไว้ขนาดไหน ถ้าน้ำนั้นมันไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ น้ำก็อยู่ในเขื่อนนั้น

เราทำบุญกุศลมันก็อยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นอามิสนะ สิ่งที่เป็นอามิสมันจะขับเคลื่อนให้เราไป ขับเคลื่อนให้จิตนี้ไป เราจะทำบุญโดยรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ บุญกุศลนั้นจะเข้าสู่ใจนั้นเพราะใจนั้นเป็นผู้ที่เสียสละ.. นี่ถ้ารู้ เวลาเทวดาของพุทธศาสนา เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระธรรม ! พระธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงวัฏฏะ.. วัฏฏะ เห็นไหม วัฏฏะวน ผลของวัฏฏะคือการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ในสถานะของเทวดา อินทร์ พรหม ในสถานะของมนุษย์ เห็นไหม นี่พระธรรม

เราศึกษาธรรมนี้ เราศึกษานี่เราเข้าใจ เรามีธรรมในหัวใจของเรา เทวดาของพุทธศาสนาถึงเลื่อนชั้น.. คำว่าเลื่อนชั้นเพราะเทวดาทำบุญได้ เทวดาทำคุณงามความดีได้ เทวดาทำบาปอกุศลก็ได้ ถ้าเทวดาทำคุณงามความดี เทวดาเขาก็เลื่อนชั้นของเขาขึ้นไปอยู่ที่ละเอียดขึ้นไปได้ นั่นเพราะอะไรล่ะ เพราะพระธรรมไง เห็นไหม นั่นเทวดา เทวดาของพุทธศาสนา ถ้าเทวดาของศาสนาอื่นล่ะ

“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แต่ทำดีของเขาคือทำดีแบบสูตรสำเร็จ ดีคือดี ชั่วคือชั่ว มันก็มีเท่านั้นแหละ ให้ผลตามนั้น แต่พุทธศาสนานี่พระธรรม

พระธรรม เห็นไหม เราศึกษาธรรม ศึกษากันมาเพราะเรามีการศึกษา เรามีธรรมะในหัวใจ ถ้ามีธรรมะในหัวใจเราพัฒนาการของเราได้ แล้วพัฒนาการ นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก ถ้าแก้วสารพัดนึก ถ้าหูตาสว่างเราจะทำบุญกุศลของเรา เพราะบุญกุศลนี้มันเป็นสภาวะแวดล้อมให้เรามีโอกาสได้ฟังธรรม ได้ประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัตินั้นจะเอาความจริง เอาความสุขจากความจริง เห็นไหม สุขจากอริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัติภายนอก ทรัพย์สมบัติภายใน

นี่จะยากดีมีจนขนาดไหน เวลามีความสุขก็คือความสุข จะยากดีมีจนขนาดไหน เวลามีความทุกข์ก็คือความทุกข์ ทุกข์ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่ความยากดีมีจนนะมันเป็นผลของวิบาก แต่หัวใจที่ศึกษา หัวใจที่มีการกระทำ.. หัวใจ หัวใจนี่ ยากดีมีจนถ้าหัวใจของเขา เขารับสภาพได้ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องเปลือกๆ ไง แต่ถ้ายากดีมีจนนะ สิ่งนั้นมันเป็นเรา.. มันเป็นเรา เห็นไหม เรายึดมั่นถือมั่น มันทุกข์ไปหมดแหละ แต่ยากดีมีจน สิ่งนั้นมันเป็นเปลือก เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย

ดูสิดูพระ เห็นไหม พระอยู่ในสังคมเหมือนกัน.. ปลากับน้ำ ปลาต้องอาศัยน้ำ ถ้าไม่มีน้ำ ปลาก็อยู่ไม่ได้ นี่ไงสังคมพระ พระมาจากไหน พระก็มาจากโยมนี่แหละ พอโยมมีความมั่นคงในศาสนา โยมก็อยากจะประพฤติปฏิบัติก็มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระ เป็นผู้ที่เป็นนักบวช เป็นผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลไม่มีอาชีพ.. อาชีพของพระ นี่อาชีพของพระก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาเพื่ออะไร เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาเพื่อสัจธรรม ถ้าเอาสัจธรรมอันนั้น ถ้ามีสัจธรรมอันนั้นขึ้นมา เห็นไหม นี่อาชีพ ! อาชีพของเราคือเราหาศีลหาธรรมในหัวใจของเรา นี่ผู้ไม่มีอาชีพในทางโลก เราทำบุญกุศลผู้ที่ไม่มีอาชีพทางโลก ไม่แข่งขันกับเรา พระไม่มาแข่งขันกับโลก พระอยู่กับโลก อยู่กับโลก เรื่องของโลกเขา โลกเป็นความเร่าร้อน หลบจากโลกมาแล้วเพื่ออะไร เพื่อความสงบร่มเย็นในหัวใจ

ถ้าใจมันสงบร่มเย็นได้ นี่ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ เอาความสงบร่มเย็นอันนั้นมาบอกวิธีการกับเรา เห็นไหม บอกวิธีการ.. บอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี่เป็นพุทธพจน์ๆ พุทธพจน์ใครก็ศึกษาได้ ใครก็รู้ได้ แต่ทำอย่างไรล่ะ อ้าว.. พุทธพจน์ทำอย่างไร เวลาให้บุญกุศลนี่บุญกุศลทำอย่างไร แล้วบุญกุศลอะไรเป็นบุญ อะไรไม่เป็นบุญ

เป็นบุญ เห็นไหม บุญคือกุศล ไม่เป็นบุญเป็นอกุศล.. ความเป็นอกุศล นี่อกุศลทำแต่ผิวเผินแต่หัวใจมันเป็นอย่างไรล่ะ ดูสิเวลาเรานั่งสมาธิ ภาวนานี่นะเราหลอกกันเองไม่ได้นะ นั่ง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงนี่ใครหลอกได้ ใครหลอกใครได้.. นี่มันเป็นความจริงในหัวใจใช่ไหม หัวใจมันจะปรากฏเองว่าเอาอยู่หรือไม่อยู่ เอาใจเราอยู่หรือไม่อยู่ ถ้าเราเอาใจเราอยู่ เห็นไหม นี่ทรัพย์มันเกิดที่นี่ !

ทรัพย์สมบัติทางโลก เขาต้องมีทะเบียนของเขา เขาต้องมีเอกสารกำกับของเขา ทรัพย์สมบัติของธรรม ! อริยทรัพย์นี่ใครเป็นเจ้าของ ใครเป็นคนรับผิดชอบมัน ใครเป็นคนรู้ว่าอะไรเป็นสติ อะไรเป็นสมาธิ อะไรเป็นปัญญา แล้วปัญญามันเกิดมาจากไหน ปัญญามันเกิดจากไหน.. ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ธรรมของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็นิพพานไปแล้ว

นี่ธรรมส่วนบุคคลไง มันมีเจ้าของ มันมีที่มาที่ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“โมฆราช เธอมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิของเรา”

ถอนไอ้ความรู้ว่าว่าง ! นี่เจ้าของ ยิ่งถอนเท่าไร มันยิ่งสะอาดบริสุทธิ์เท่าไร แล้วมันยิ่งรู้ของมัน

นี่มันต้องมีวิธีการของมัน วิธีการอันนี้ที่ครูบาอาจารย์เราสั่งสอนเราอยู่เนี่ย วิธีการ.. แล้วทุกคนมีสิทธิที่จะทำได้ ดูสิหลวงปู่มั่นไปอยู่กับมูเซอ เห็นไหม พุทโธเราหาย พุทโธเราหาย นี่เขาเป็นมูเซอนะ เขาว่า “เขาช่วยหาได้ไหม”

“หาได้”

“หาได้อย่างไรล่ะ”

กำหนดสตินี่พอสงบเข้าไปแล้ว หาพุทโธข้างนอกนะ หาพุทโธอยู่ หาพุทโธอยู่.. พอจิตมันสงบลงมันสว่างไปหมดเลย

“อู๋ย.. พุทโธตุ๊เจ้าไม่ได้หาย ! พุทโธตุ๊เจ้าสว่างไสว ตุ๊เจ้าไม่หาย ! ตุ๊เจ้าไม่หาย !”

แต่มันเป็นวิธีการ เห็นไหม นี่พุทโธมันหาย.. พุทโธ พุทโธจนสว่างเข้าไป จนจิตสงบเข้าไปนี่มันไม่หาย ! แต่ตุ๊เจ้าใช้อุบายให้เราทำของเรา.. นี่ไงธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะของหลวงปู่มั่นก็เป็นของหลวงปู่มั่น แต่ท่านใช้อุบาย เห็นไหม ถ้าไม่ใช้อุบายวิธีการ เราจะสอนเด็กให้เด็กมันพัฒนาขึ้นมานี่เราจะบอกเด็กว่าอย่างไร เด็กมีความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน เราจะให้เด็กมันพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร เราก็ต้องบอกให้เด็กมาที่ความที่มันเข้าใจได้

จิตของเรานี่ปุถุชนคนหนา ! มันครอบงำไปด้วยอวิชชา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าพุทธพจน์ๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย นี่เงินของคนอื่น เงินของชาติ แต่เงินของเรามันไม่มี เงินของชาติ เงินของชาวพุทธ

รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา แต่มันเป็นความจริงของเรายังไม่เกิดขึ้น มีภาคปฏิบัติธรรมตรงนี้ขึ้นมา ถ้าภาคปฏิบัติธรรมตรงนี้ขึ้นมา นี่มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมา.. ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ! พอปฏิบัติขึ้นมา เป็นสัจธรรมมันปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา จิตใจมันจะเป็นความจริงขึ้นมา

นี่เรามาทำบุญกันเพื่อสิ่งนี้นะ ทำบุญกันเพื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนาทั้งนั้นแหละ ทุกคนก็ทุกข์ๆ ยากๆ มาทั้งนั้นแหละ แต่ความทุกข์ยากขนาดไหน นี่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะ เห็นไหม เราก็เกิดดี เกิดเป็นมนุษย์มีอิสรภาพ เกิดเป็นมนุษย์มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย มันบีบคั้นมาตลอดล่ะ นี่มันมีอาหารของมัน.. เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะว่า “เทวดาไม่มีตลาดนะ” เทวดาไม่มีตลาด เทวดา อินทร์ พรหมไม่มีตลาด เขาอิ่มทิพย์ เขาเป็นทิพย์ของเขาหมด แต่ของเรามันต้องแสวงหา การแสวงหามันเป็นการเตือนเรา เป็นการบอกเรา แต่การแสวงหานี้ การแสวงหานี้เราต้องการความมั่นคง

ความมั่นคง เห็นไหม เรื่องของบุญกุศลนะเรามีเงินเต็มกระเป๋าเลย ไปถึงตลาด ตลาดวายแล้วจะเอาอะไรไปกินล่ะ ตลาดวาย.. นี่มีเงินแต่กินไม่ได้หรอก ในเมื่อร้านค้าเขาไม่มีนี่เอาอะไรไปกิน เงินก็ซื้ออะไรไม่ได้ แต่นี้สมมุติเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโลก เห็นไหม โลกก็เป็นสมมุติขึ้นมา ดูสิเดี๋ยวนี้ทุกคนกินอาหารสำเร็จหมดเลย แล้วทางความรู้ล่ะ

เมื่อก่อนนะเราอยู่กันโดยสมัยดึกดำบรรพ์ เห็นไหม นี่ทุกคนต้องทำอาหารได้ ถ้าคนทำอาหารไม่เป็น คนนั้นก็ไม่มีอาหารจะกิน เดี๋ยวนี้ทุกคนไม่ต้องทำอาหาร นี่ไปตามร้านค้ามีไว้หมดเลย แล้วการทำอาหาร วิชาการทำอาหารมันหมดไปแล้วนะ มันมีเฉพาะพวกแม่ครัวเท่านั้นแหละที่ทำได้ แต่เรานี่ทำกันไม่เป็นแล้วเพราะเราไม่ต้องทำ นี่ไงมันก็เหมือนกับการปฏิบัตินี่แหละ ถ้าจิตใจมันทำไม่เป็น มันทำไม่ได้ นี่มันบอกเขาได้อย่างไร มันก็อาหารสำเร็จรูปไง มันเป็นอาหารสำเร็จรูป มันฉีกซองเอา ฉีกซองเอา

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะ เห็นไหม ทุกอย่างมาพร้อม หยิบฉวยเอา หยิบฉวยเอา หยิบฉวยได้หมดเลย หยิบฉวยมันก็หยิบฉวยได้ หยิบฉวยนี่มันทุจริตทั้งนั้นแหละ นี่ก็หยิบฉวยธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา เห็นไหม เราเป็นคนประกอบของเราขึ้นมา เราปลูกผักปลูกหญ้าขึ้นมา แล้วเราทำของเราขึ้นมา อาหารเป็นของเราเอง เราอิ่มหนำสำราญเพราะเราทำของเราเอง

จิตใจของเรา ถ้ามันทำของมันได้ เห็นไหม มันมีวิธีการของมัน.. ถ้ามีวิธีการของมัน นี่ไงปริยัติ ปฏิบัติ ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากที่นี่ เกิดจากการปฏิบัติที่นี่ เรามาทำบุญกุศลขึ้นมา เราฟังธรรมขึ้นมาเพื่อเตือนเราไง.. นี่แรงงานสมอง แรงงานใจ ! แรงงานกายเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เห็นไหม แรงงานสมองก็ใช้สมองปัญญาใช้คิด นี่แรงงานของใจ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมานี่แรงงานชั้นไหน

นี่ก็เหมือนกัน เรามาทำงานของเรา เราทำบุญกุศลของเราเพื่อเหตุนี้ไง ให้เห็นว่างานอย่างหยาบ งานอย่างละเอียด.. งานอย่างหยาบก็อาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามเอา งานละเอียดเขาเป็นผู้บริหารจัดการ เขรับผิดชอบของเขา แล้วงานของใจล่ะ งานที่มันจะถอดถอนทุกข์ล่ะ.. นี่เวลาทุกข์มันเกิดที่ใจ เวลาจะเป็นนิพพาน นิพพานอยู่ในพุทธพจน์ นิพพานอยู่ในตำรา แต่เวลาทุกข์ ทุกข์ที่ใจนะ เวลาลำบากลำบากที่หัวใจนี้นะ แต่มันไม่เกิดสัจจะความจริงขึ้นมาในใจของเราเลย

ถ้าใจมันเกิดขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม อันนี้ต่างหาก ! อันนี้ต่างหาก ! นี่เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ใครทรมานมา ใครทรมานมา” คนทรมานมาคือครูบาอาจารย์คอยชี้นำ คอยมีกรอบให้เข้ามา เห็นไหม

“ใครทรมานมา !” นี่มันจะมาจากฟ้าเหรอ พระพุทธเจ้าถามเลย เวลาพระในสมัยพุทธกาลนะออกพรรษาแล้วจะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกือบทั้งนั้นเลย เพราะระลึกถึงบุญถึงคุณ นี่ด้วยความซาบซึ้งบุญคุณ เวลามา ถ้าพระอรหันต์มานะ

“องค์นี้ใครทรมานมา ! องค์นี้ใครทรมานมา ใครทรมานมา !”

ดูอย่างพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร “ใครทรมานมา”

“พระอัสสชิทรมานมา” ทรมานมาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมานต่อ

ทรมานคือการบอกกล่าว คือการบังคับ คือการชี้นำให้เข้าสู่ใจนั้น นี่มันมีเหตุมีผลของมัน ไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้าหรอก ของฟรีไม่มี สิ่งที่เราทุกข์เรายากอยู่นี้มันก็เพราะว่าเราทำกรรมมาแต่อดีตชาติ ทำกรรมมามากน้อยแค่ไหน พอทำกรรมมาขนาดไหน จิตใจมันก็มีมุมมองอย่างนั้น มีทัศนคติอย่างนั้น มีทัศนคติที่ดีมันก็พยายามจะแสวงหาสิ่งที่ดี ถ้าทัศนคติไม่ดีนะ มันก็แอนตี้นะ โอ้โฮ.. พระนี่มีแต่เอา อะไรก็บุญๆๆๆ ขนไปให้พระ พระไม่รู้จะขนเอาไปที่ไหน

ครูบาอาจารย์ท่านขนเอาไปเป็นสาธารณะ เป็นหมื่นๆ ล้านเพื่อช่วยชาติ ถ้าจิตใจที่เป็นธรรม ถ้าจิตใจที่เป็นธรรมนะ สมบัติข้างนอกมันเป็นวัตถุเท่านั้นล่ะ หัวใจนี้มีคุณค่ากว่าเยอะมากนะ นี่ชาวพุทธสอนที่นั่น.. ทีนี้คำว่าสอนที่นั่น นี่ว่าไม่เอาๆ นั่นล่ะจะเอาให้มาก ไม่เอาๆ นั่นล่ะระวังให้ดี.. แต่อันนี้เราทำของเรา นี่เวลาพิสูจน์คนนะ

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน.. เราต้องพิสูจน์กันทั้งชีวิต แผ่นดินยังไม่กลบหน้า คนนั้นดีจริงหรือไม่จริงยังไม่รู้นะ วันไหนเขาตายแล้ว เออ.. ใช่ นี่ของแท้ อันนี้ของจริง ถ้าแผ่นดินยังไม่กลบหน้า จะไว้ใจสิ่งใดไม่ได้เลย ฉะนั้นเราจะต้องมีสตินะ

ชีวิตของเรา เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ เราจะแก่ไปข้างหน้านะ ตอนนี้เวลานั่งก็เจ็บก็ปวดแล้ว ถ้ามันแก่กว่านี้ เจ็บกว่านี้นะ นั่งนี่จะเจ็บกว่านี้นะ จะลำบากกว่านี้นะ ฉะนั้นขณะที่เรายังเคลื่อนไหวได้ ขณะที่เรามีโอกาสได้เราต้องตั้งสติ ทำประโยชน์เพื่อเรา เอวัง